กติกาการเมืองแบบ ‘โคโคนัท’ อย่างพอเข้าใจ
ชนชั้นนำทั้ง 6 กลุ่มในอาณาจักรแห่งนี้ประกอบไปด้วย คุณจิ้งจอกแดง, คุณหญิงคอลเลคเตอร์, สหายกะโหลกดำ, ฯพณฯ พันปี, หม่อมเทพเทวดา และหม่อมท่านเทวดี โดยแต่ละตัวละครมีพลังพิเศษและภารกิจหลักแตกต่างกันออกไป
นานาให้สัมภาษณ์ว่าตัวละครแต่ละตัวมีที่มาจากการเปรียบเทียบลักษณะของความเป็นผู้นำ ไม่ได้เจาะจงบุคคลใด
“จิ้งจอกแดงเป็นนายทุนที่มีต้นทุนทางเศรษฐกิจ มีหน้าที่เพื่อครอบงำเศรษฐกิจ คุณหญิงคือเราจะครอบคลุมประชากรได้อย่างไร ทหารกะโหลกเป็นนักปฏิวัติที่ไปปฏิวัติยึดประเทศ ฯพณฯ จะยึดอำนาจให้อยู่นานๆ ได้อย่างไร” เธอขยายความ
กระดานการเมืองในแดนกะลานี้ไม่เข้าใครออกใคร เช่นเดียวกับความสัมพันธ์ระหว่างชนชั้นนำที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นในแต่ละตาที่ดำเนินไป ผู้เล่นเองมีบทบาทในการปรับตัวไปเรื่อยๆ จนทำให้การอยู่ยาวไม่สำคัญเท่าการอยู่เป็น
“เราว่านิยามอยู่ยาว ทุกคนอาจจะอยู่ยาวหมด… แต่เสถียรภาพคือการหาพวก เกมนี้โซโลยากมาก ต้องต่อรอง มันเป็นเรื่องของการหาพันธมิตรและตัดขาศัตรู”
หนีไม่พ้นวังวนรัฐประหาร
กลไกสำคัญในเกมอีกอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยไม่แพ้การเมืองไทยจนทำให้ผู้เล่นเข้าถึงบทบาทของตัวละครได้ไม่ยากคือการรัฐประหาร
หญิงสาวจากเชียงใหม่รายนี้มองส่วนคล้ายของการก่อรัฐประหารในประเทศไทยที่มีมาอย่างโชกโชนถึง 13 ครั้งว่า “การยึดอำนาจหรืออะไรในเกมที่มันเกิดขึ้น หนูไม่มีบทบาทในการกำหนด บางทีมันเกิดไปแล้ว แต่เราไม่ได้รู้ถึงการเตรียมการ ถ้ามองเป็นผู้เล่นคือการยึดอำนาจจะเกิดขึ้นเมื่อคนอื่นอนุญาตให้เกิด ไม่ใช่ว่าแต่ละตัวจะไปยึดแล้วคุ้ม ต้องมีตัวละครอื่นสนับสนุน”
แต่ก็ยังมีส่วนต่างเนื่องจาก “ในเกมมันซับซ้อนน้อยกว่า ในชีวิตจริงการอ่านกระแสของมวลชนก็มีผล แต่ในเกม หนูมันไม่มีปากมีเสียง (ผู้ก่อรัฐประหาร) ต้องอ่านมวลชนเหมือนกันว่าดีหรือไม่ดี เพราะมันอาจสั่นคลอนผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
“ที่เหมือนแน่ๆ คือการรัฐประหารมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งนั้น”
รัฐนาฏกรรมและหนู
แก่นความคิดของการออกแบบเกมนี้ ผู้สร้างนำเอาแนวคิดรัฐนาฏกรรมเข้ามาจับ โดยชี้ถึงเรื่องของอำนาจบนพิธีกรรมทางการเมือง แต่ไม่ได้อยู่กับฟังก์ชันที่มาจากประชาชน ดังที่ปรากฏในเกมว่าเป็นการเล่นเพื่อบริหารอำนาจระหว่างชนชั้นนำบนเกาะกลางมหาสมุทรแห่งนี้
นักออกแบบเกมจากฟองเมฆสตูดิโอรายนี้ยังขยายความอิงการเมืองไทยต่อไปว่า “ฟังก์ชันประชาชนคือการสนับสนุนนักการเมือง แต่ในความเป็นจริงคือการสนับสนุนเพื่อให้กลุ่มการเมืองไปดีลหรืออะไร มันอยู่นอกเหนือการรับรู้สาธารณะ”
ด้วยความที่ไม่ได้ปกครองระบอบประชาธิปไตย Coconut Empire จึงปราศจากการเลือกตั้งดังที่ไทยเพิ่งมีไปเมื่อต้นปีหลังร้างลามานาน แต่ปัจจัยนี้ไม่ได้ทำให้นานารู้สึกว่าการเมืองของสองรัฐนี้ต่างกันนัก
“การเมืองตอนนี้เรายังมองไม่ค่อยเห็นประชาชนในกลไกเท่าไร มีเลือกตั้งก็จริง แต่ก็เหมือนใน Coconut Empire ที่ยังเป็นเรื่องของอำนาจนำ… การคานอำนาจระหว่างอำนาจด้วยกัน แต่ในระดับทางการเมือง มันตัดประชาชนออกจากสมการไปแล้ว”
คำพูดข้างต้นคล้ายจะตอกย้ำคำตอบของนานาระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อครั้งถูกถามถึงบทบาทและตำแหน่งแห่งที่ของหนูในเกมการเมืองดินแดนสมมติแห่งนี้ว่า “ไม่มี”